การทำธุรกิจ

การทำธุรกิจ


การทำธุรกิจ
การทำธุรกิจ
การทำธุรกิจ ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญที่บรรดานักบริหารตัวยงต่างไขว่คว้า แต่การประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเองกลับเป็นสิ่งที่ท้าทายกว่า เพราะจะได้รับการยอมรับเป็นวงกว้าง อีกทั้งนำพามาซึ่งเกียรติยศที่จะได้รับการกล่าวถึงไปอีกนาน

หลายคนมักจะตีความและคิดกันไปเองว่าธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยและพึ่งการอุปถัมภ์ค้ำชูจากภายนอกเสมอไป ซึ่งสำหรับยุคปัจจุบันนี้ทฤษฏีดังกล่าวได้ถูกหักล้างความเชื่อในเรื่องนี้ไปได้มากพอสมควรแล้ว เพราะการสร้างธุรกิจใหม่ให้เจริญเติบโตและประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงบวกจากภายนอกแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวของผู้ประกอบการเอง โดยเคล็ดลับ 9 วิธีสร้างความสำเร็จด้วยตนเองมีดังต่อไปนี้

1.นักธุรกิจมักจะถูกสอนให้คิดในเรื่องของกำไรต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งจริงๆแล้วควรลองเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่และมุ่งสนใจไปที่กระแสเงินสดหมุนเวียนภายในบริษัทแทน อย่าลืมว่าต้องใช้เงินสดจ่ายบิล ถ้าเกิดมียอดเงินหมุนเวียนอยู่ภายในบริษัทตลอดและมีการจ่ายชำระหนี้ตรงตามเวลา พยายามให้มีการเรียกเก็บเงินระยะสั้นๆ ปิดยอดได้ไวๆ เมื่อนั้นก็จะได้ผลกำไรตอบแทนกลับมาเอง

2.ผู้ประกอบการต้องทำการประเมินแนวโน้มความต้องการของตลาดเป้าหมายอยู่ตลอดเวลา จากนั้นจึงทำการกำหนดสัดส่วนความต้องการของธุรกิจบริษัท เช่น ถ้าบริษัทผลิตเกี่ยวกับเครื่องสำอางสตรีที่กลุ่มตลาดเป้าหมายที่ใช้เป็นประจำอยู่ที่ 1 ล้านคน ประมาณการส่วนแบ่งการตลาดขั้นต่ำที่ต้องการได้คือ 10% นั่นหมายถึง 100,000 คน แล้วนำมาคิดด้วยกำลังการผลิตขั้นต่ำของทางบริษัทว่าสามารถทำได้อย่างน้อยกี่ชิ้้นต่อวันแล้วนำไปหักลบกันให้เรียบร้อยเพื่อหากำลังการผลิตว่าสามารถตอบสนองได้หรือไม่นั่นเอง

3.ผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องมีการทดสอบอย่างรอบด้าน ผู้ประกอบการควรออกแบบสร้างแผนทดสอบผลิตภัณฑ์ของบริษัทตนเองโดยเริ่มทดสอบในส่วนของคุณสมบัติส่วนตัวและแนวทางการจัดวางจำหน่ายเพื่อจะหาวิธีที่ดีที่สุดในการทำตลาดและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจจะเลือกจากจุดเด่นที่ได้มาจากการทดสอบนำมาเป็นแผนแม่บทในการพัฒนาก็ได้

4.เป็นเรื่องสำคัญที่ผลิตภัณฑ์ที่จะนำออกวางจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคนั้น จะต้องสามารถพิสูจน์ได้จริงในเชิงประจักษ์โดยผ่านการทดสอบจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน นอกจากนี้การยอมรับจากสถาบันวิจัยสำคัญยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการของผู้ประกอบการอีกด้วย

5.ธุรกิจบริการจะมีข้อดีตรงที่สามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้บริโภคได้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั่นเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องของข้อมูลข่าวสารอย่างมหาศาล โดยผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลดังกล่าวพัฒนาออกมาเป็นตัวผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานได้ เช่น บริษัทที่ผลิตแชมพูสระผมบางส่วนก็มีที่มาจากการเป็นร้านให้บริการในเรื่องการตัดแต่งและสระผมมาก่อนด้วยกันทั้งนั้น

6.ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าก็ต่อเมื่อมันสามารถตอบสนองต่อความต้องการของเขาได้จริงๆไม่ใช่มองแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ดังนั้นการมุ่งพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของกลุ่มตลาดเป้าหมาย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอันจะทำให้ธุรกิจของผู้ประกอบการสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำกลับคืนมาสู่ธุรกิจของบริษัทภายในเวลาอันรวดเร็ว

7.บ่อยครั้งที่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาจากการทำธุรกิจค่อนข้างที่จะน่าผิดหวัง เพราะมีที่มาจากจำนวนพนักงานที่ไม่เพียงพอบวกกับไม่มีความรู้ความสามารถโดยตรงกับงานที่กำหนดไว้ ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องจัดหาพนักงานที่มีความรู้ และมีจำนวนพนักงานที่เพียงพอสำหรับรองรับการทำงานที่พร้อมจะเติบโตต่อไปในอนาคตด้วย

8.การขายตรงเป็นวิธีการค้าขายที่เก่าแก่มากที่สุดในโลก ควรทดลองใช้วิธีดังกล่าวเป็นอันดับแรกในการทำตลาด เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถสัมผัสได้อย่างแท้จริงถึงปัญหาของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับจากกระแสตอบรับของผู้บริโภคโดยตรง และยังเป็นการตัดขั้นตอนในส่วนของพ่อค้าคนกลางที่เรียกรับผลประโยชน์ออกไป จึงทำให้ผู้ประกอบการได้กำไรที่เพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้การค้าขายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกว่า E Commerce ก็เป็นวิธีการขายตรงรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจอยู่มิใช่น้อยในปัจจุบัน

9.ถ้าผู้ประกอบการสามารถจัดอันดับตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทตนเองได้นั่นจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการทำธุรกิจ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมกับสถานะของตน เช่น ลูกค้าที่มีรายได้ต่างกันก็จะเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาต่างกัน เป็นต้น ดังนั้นการจัดตำแหน่งผลิตภัณฑ์จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการสมควรจะต้องพึงกระทำเพราะจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ขายได้ง่ายและในเวลาที่รวดเร็วมากขึ้นนั่นเอง

ต่อให้ธุรกิจของผู้ประกอบการจะมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูที่ยอดเยี่ยมสักเพียงใดก็ตาม ที่สุดแล้วธุรกิจของผู้ประกอบการจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเองให้ได้เสียก่อน เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงคงไม่มีใครที่จะคอยสนับสนุนธุรกิจอื่นๆไปได้โดยตลอดอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องเป็นผู้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับกิจการนั่นเอง
ข้อควรรู้สำหรับคนที่อยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง

1. สำรวจตัวเอง
การสำรวจตัวเองเบื้องต้นนี้   คุณอาจยังมองไม่เป็นภาพรวมทั้งหมดของธุรกิจของคุณ  แต่การสำรวจถึงทักษะ, ความรู้จากการศึกษา  และประสบการณ์ที่อยู่ภายในตัวคุณ   นั่นหมายถึงว่าคุณจะสามารถจัดเตรียมอาวุธ,  เครื่องมืออะไรได้บ้างที่จะนำมาใช้ในการตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจของคุณ ขั้นตอนก็มีเพียงแค่ 4 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1  เป็นการประเมินถึงทักษะ  และความรู้ความสามารถของคุณอย่างซื่อสัตย์กับตัวเอง คุณควรจะลิสต์ทุกสิ่งทุกอย่างออกมาว่าคุณมีทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างฉกาจหรือมีความรู้ในด้านใดบ้าง รวมถึงความสามารถในการทำสิ่งใด ๆ ที่คุณทำสำเร็จมาแล้ว   แต่ไม่ต้องลิสต์สิ่งที่คุณทำผิด หรือมีความสงสัยอยู่ลงไปด้วย เพราะที่ลิสต์นี้เราจะเขียนแต่สิ่งที่คุณรู้เป็นอย่างดีว่าคุณจะทำให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จได้อย่างไรบ้าง (อย่ายกยอตัวเองเกินไป แต่อย่ากังวลว่าถ้าให้คุณทำมันอีกครั้งคุณอาจจะทำไม่ได้)

ขั้นตอนที่ 2   หลังจากที่คุณได้เจาะจงลงไปถึงทักษะเฉพาะตัว   และความสามารถส่วนตัวของคุณแล้ว   คราวนี้คุณก็ลงมุ่งไปที่ความรู้ในเรื่องธุรกิจของคุณดูว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่คุณสนใจเป็นพิเศษ   ลิสต์ออกมาว่าคุณมีความรู้ในธุรกิจ  หรืออุตสาหกรรมด้านใด   สาขาใดบ้าง   ถ้าเป็นไปได้อาจจะเขียนออกมาเป็น Outline  ง่ายถึงสิ่งที่สัมพันธ์กัน   แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจคุณควรจะลิสต์ทุก ๆ อย่าง  โดยมุ่งความสนใจเจาะจงไปที่ข้อมูลความรู้ในธุรกิจนั้น ๆ มากกว่าธุรกิจที่ได้พบจากประสบการณ์ชีวิตทั่วๆ ไป  เพราะประสบการณ์ทั้งหมดจะมีประโยชน์มาก แต่คุณจะสามารถนำมันขึ้นมาใช้ได้ต่อเมื่อคุณได้ทำการตัดสินใจเกี่ยวกับว่าทักษะอะไรที่คุณอาจต้องการการพัฒนาเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจของคุณไปได้ด้วยดี

ขั้นตอนที่ 3  ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินความสามารถในการตัดสินของคุณ  เมื่อคุณเป็นเจ้าของธุรกิจคุณจะต้องรับภาระ และทำการตัดสินใจหลายๆ เรื่อง  ซึ่งการตัดสินใจนั้นอาจจะต้องใช้พื้นฐานจากอะไรที่คุณคิด ไม่ใช่การตัดสินใจทั้งหมดที่จะสามารถทำได้ทันที  แต่บางครั้งคุณอาจจะต้องใช้เวลาคิด  ถ้าผลกระทบที่ได้รับจากการตัดสินใจของคุณทำให้เกิดปัญหาให้คนอื่น ต้องมาช่วยแก้ไขให้แล้วละก็   มันคงเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินธุรกิจของคุณไปได้  มองย้อนกลับไปจากประสบการณ์ชีวิตของคุณ    แล้วลองเขียน 2 เหตุการณ์ที่คุณทำการตัดสินใจได้ไม่ดีนัก แล้วลองคิดดู แล้วลิสต์ออกมาว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

ขั้นตอนที่ 4   ขั้นตอนสุดท้าย แต่ยังไม่ใช่ท้ายสุด  จะเป็นการเจาะจงความสามารถในการเป็นเจ้าของธุรกิจของคุณ จากที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น   มีเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมายต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากมายในตอนแรกเริ่มและพวกเขาได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดจากตัวพวกเขาเอง    คุณลองมองให้ชัดเจนถึงสิ่งที่เป็นแรงจูงใจของคุณ   และความเชื่อในตัวคุณเอง  มันจะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับความท้าทายที่จะมาถึงด้วยตัวคุณเองกับธุรกิจที่คุณเป็นเจ้าของเองบางทีองค์ประกอบ  3  สิ่งที่สำคัญบนเส้นทางแห่งความสำเร็จ  นั่นคือ  ความสามารถในการยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป   ความเต็มใจและพร้อมจะรับกับการเปลี่ยน แปลงของตลาด  และความก้าวทางทางเทคโนโลยี   และความสามารถที่จะเชื่อใจตัวคุณเอง ถ้าคุณมีทั้ง 3 สิ่งนี้  นั่นแสดงว่าคุณได้เดินทางไปกว่าครึ่งของเส้นทางสู่เส้นชัยแล้ว

ในครั้งแรกที่คุณได้สำรวจและประเมินตัวเองแล้ว    คุณอาจต้องการทบทวนขั้นตอนทั้งหมดอีกครั้ง   เพื่อดูว่าคุณอยู่ที่จุดใดแล้วในเวลานี้  ด้วยการประเมินค่า และทำความเข้าใจว่าทำไม และเพราะอะไรกับสิ่งที่คุณทำได้สำเร็จ และไม่สำเร็จจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของคุณจนถึง ณ วันนี้ คุณสามารถใช้ความคุณทั้งหมดที่คุณมีอยู่ได้ดีมากกว่านี้ในตอนนี้ แลtอนาคตไหม  คำถามที่จะได เห็นเหล่านี้อาจจะช่วยคุณได้ จำไว้ว่ายิ่งคุณซื่อสัตย์ต่อตัวเองเท่าไร

คุณก็จะได้รับคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคำถามในแต่ละข้อ และนั่นจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ที่สุดที่คุณจะได้รับ

อะไรที่คุณรู้สึกนั่นเป็นความคิดหลักที่มั่นคงที่สุดของคุณ ?
อะไรที่คุณรู้สึกนั่นเป็นจุดอ่อนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดของสำหรับคุณ    ?
อะไรที่เป็นความสามารถพิเศษที่คุณมีอยู่ และในสถานการณ์ใดที่คุณเคยใช้มันแก้ปัญหาได้สำเร็จมาแล้ว ?
คุณกำหนดแนวความคิดเฉพาะตัวอย่างไร ในการมีงานทำ หรือการเป็นลูกจ้าง ?

ตอนนี้ทุกสิ่งได้เริ่มจุดประกายขึ้นแล้ว หรือไม่คุณก็กำลังจะเริ่มมีข้อสงสัยหลายอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ขอให้คุณจงฟังและรับรู้ถึงความรู้สึกของคุณเอง   และมีความเชื่อถือในตัวเอง      และสุดท้ายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเป็นเครื่องมือสำหรับคุณเพื่อจะนำไปใช้ในกระบวนการประเมินตัวเอง ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป...!!!

2. กำหนดงบปนะมาณทางการเงิน
ถ้าคุณต้องการจะเริ่มต้นทำธุรกิจของคุณเอง มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการพิจารณาถึงฐานะทางการเงินของคุณด้วยการกำหนดรายได้ที่คุณได้รับ และรายจ่ายที่คุณต้องเสียไปในปัจจุบัน  คุณอาจจะวางแผนความต้องการทางการเงินของคุณในเดือนถัดไปไว้ด้วย
สำหรับธุรกิจขนาดเล็กทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีความแตกต่างกันระหว่างเมื่อคุณเริ่มต้นธุรกิจของคุณ  และเมื่อคุณเริ่มที่จะสร้างรายได้ได้แล้ว ความจริงแล้วผู้ที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านการจัดการธุรกิจส่วนใหญ่  คนที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในธุรกิจขนาดเล็กสามารถจะให้คำแนะนำกับคุณได้ว่าคุณควรจะมีเงินออมอย่างน้อยที่สุด  6  เดือนสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจของคุณในระยะเริ่มต้น  แน่นอนระยะเวลาอาจจะขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจที่คุณตัดสินใจเลือกทำ  ธุรกิจบริการและธุรกิจที่เกี่ยวกับเรื่องบ้านมักจะเป็นธุรกิจที่คนส่วนใหญ่เลือกทำกัน โดยเฉพาะผู้หญิงเพราะว่าต้นทุนในการเริ่มต้นธุรกิจต่ำกว่าธุรกิจอื่น ๆ
ก่อนที่คุณจะทำการตัดสินใจเกี่ยวกับประเภทของธุรกิจที่คุณจะเลือกทำ    คุณจะต้องพัฒนาการวางแผนเงินออมและรายจ่ายประจำเดือน   สิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถเจาะจงได้ว่าคุณจะต้องใช้เงินเท่าไรในแต่ละเดือนจึงจะอยู่รอดปลอดภัยได้  และมันยังสามารถบอกให้คุณรู้ได้ว่าฝันของคุณที่ต้องการจะเป็นเจ้าของธุรกิจเข้ากันกันฝันที่คุณต้องการจะส่งลูกเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่

วิธีการในการพัฒนาการวางแผนเงินออม และรายจ่ายมีขั้นตอน ดังนี้

กำหนด และเขียนรายจ่ายสำหรับแต่ละเดือน และสำหรับแต่ละปี  ค่าใช้จ่ายคงที่ที่รวมไปถึงค่าเบี้ยประกันภัยค่าผ่อนบ้าน, ค่าผ่อนรถ, ค่าของใช้สอยอื่น ๆ และเงินออมที่ต้องเก็บด้วย
เมื่อคุณกำหนดรายจ่ายคงที่สำหรับแต่ละเดือนแล้ว คุณก็รวมรายจ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน และเป็นปีด้วย
กำหนดค่าใช้จ่ายผันแปร และเขียนไว้สำหรับแต่ละเดือน และรวมไปถึงรายจ่ายที่ต้องใช้ในปีถัดไปด้วย เพราะถ้าคุณไม่มีกฎเกณฑ์ในการกำหนดค่าใช้จ่ายสำหรับรายการพวกนี้   คุณจะยืดหยุ่นเกินไปว่าจะรวมหรือไม่รวมรายการพวกนี้ไปด้วย  และจะต้องจ่ายเป็นเงินเท่าไรสำหรับแต่ละรายการ   ลองพิจารณาว่าอะไรที่คุณได้จ่ายไปในเดือนที่ผ่านมา  และลองพิจารณาดูว่าคุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง  ค่าใช้จ่ายที่สามารถยืดหยุ่นได้รวมทั้งสิ่งที่เป็นอาหารการกิน เช่น อาหารมือค่ำในภัตตาหารที่ไม่จำเป็น ค่าเสื้อผ้า ค่า Entertain ค่าเดินทาง และอื่น ๆ  ครั้งแรกคุณอาจจะกำหนดค่าใช้จ่ายผันแปรของคุณทั้งหมดในแต่ละเดือน และรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน และเป็นรายปีด้วย ตอนนี้หักค่าใช้จ่ายคงที่ทั้งหมดของคุณ   และค่าใช้จ่ายผันแปรทั้งหมดของคุณสำหรับแต่ละเดือนออกจากรายได้รายเดือนและรายปีที่คุณคาดว่าจะได้รับ ดูสิว่ารายได้และรายจ่ายที่คิดออกมาสมดุลกันหรือไม่  ลองถามตัวเองว่าคุณยังรายได้พิเศษอื่นนอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่ ถ้าคุณยังมีรายได้พิเศษส่วนอื่นอีก นั่นเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับคุณ  คุณสามารถใช้เงินออมอันนี้ และรายการรายจ่ายกะประมาณได้ว่าเงินเท่าไรที่คุณต้องการใช้ในแต่ละเดือนอย่างน้อยที่สุด  คุณสามารถใช้รายการเงินออมและรายการจ่ายเหล่านี้ในการกำหนดว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้ารายได้และรายจ่ายของคุณเปลี่ยนแปลงไปในปีถัดไป หลังจากที่ได้ทดสอบการค้นหาความต้องการเงินออมและรายจ่าย คุณอาจจะหาว่าแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นอะไรบ้างที่คุณยังขาดอยู่ในการเริ่มต้นธุรกิจของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องกังวล มันเกิดขึ้นกับคนมากมาย ความจริงแล้วมันอาจจะเป็นอุปสรรคที่คุณจะต้องเอาชนะให้ได้ก็ได้ ถ้าคุณยังคงมีความตั้งใจที่จะเริ่มธุรกิจของคุณเอง   คุณอาจต้องเริ่มสะสมแหล่งที่มาของรายได้ที่เป็นทางเลือกอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีก  75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือมากกว่านั้นใช้เงินออมส่วนตัวในการเริ่มทำธุรกิจของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการใช้เงินมากกว่าเงินออมในบัญชีที่คุณมีอยู่ แหล่งเงินอื่น ๆ มากมายอาจจะมาจากการกู้ยืมธนาคาร, หรือแหล่งเงินอื่น ๆ ที่คุณสามารถคิดได้ก็ได้   กฎที่ดีที่สำคัญอย่างหนึ่งคือคุณไม่ควรจะยืมเงินมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้ในการเริ่มต้นธุรกิจ บ่อยครั้งที่คุณยืมเงินมามากเกินไปแล้วไม่สามารถควบคุมการใช้มันได้...!!!

3. วางเป้าหมายหลักส่วนตัว
การกำหนดเป้าหมายหลักส่วนตัวเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เมื่อคุณกำลังตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นธุรกิจของคุณหรือไม่เพราะว่าคุณธุรกิจของคุณจะมีผลกระทบกับทุก ๆ สิ่งในชีวิตของคุณ   มันเป็นวิกฤตการณ์ที่คุณจะต้องรู้ทราบมันเหมาะสมกับชีวิตของคุณหรือไม่ และมันจะทำให้คุณก้าวไปถึงเป้าหมายอื่น ๆ ได้หรือไม่  ประโยชน์ 2 ข้อ  ที่คุณจะได้รับจากผลของการกำหนด และวางเป้าหมายหลักในชีวิตคือ จิตใจที่สงบ  และมีเป้าหมาย   ลองมองไปที่ประโยชน์ที่จะได้รับเพียงเล็กน้อยจากการวางเป้าหมายหลักส่วนตัวคุณจะได้รับสิ่งเหล่านี้ คือ

คุณสามารถใช้จิตใจ และดึงความสามารถออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
มีจุดประสงค์ที่แน่ชัด และมีทิศทางให้กับชีวิต
ทำให้การตัดสินใจถูกต้อง และแม่นยำยิ่งขึ้น
ทำอะไรได้มากขึ้นสำหรับตัวคุณเอง และผู้อื่น
มีความมั่นใจสูง และมีความศรัทธาในตนเอง
รู้สึกถึงความสำเร็จมากขึ้น
มีความกระตือรือร้น และมีแรงจูงใจในการทำสิ่งใด
จำไว้ว่าคุณจะไม่ต้องจ่ายสำหรับค่าวางเป้าหมาย และคุณจะต้องจ่ายถ้าคุณไม่ได้วางเป้าหมายไว้  คนจำนวนมากถึง  97  เปอร์เซ็นต์  ที่ไม่มีการกำหนดเป้าหมายส่วนตัวด้วยเหตุผล  2  ประการ  คือ  ความกลัว  ( FEAR  :  False Evidence Appearing Real)  เป็นสิ่งที่ขัดขวางพวกเขาออกจากการกำหนดเป้าหมายส่วนตัว  และความเสี่ยงที่เป้าหมายนั่นพวกเขาอาจจะไปไม่ถึงก็ได้

มีคำถามหนึ่งที่ผู้หญิงหลายคนถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป้าหมายนั่นดีหรือไม่ดี หรืออีกนัยหนึ่งคุณพิจารณาได้อย่างไรระหว่างเป้าหมายที่สำคัญมากจริง ๆ และมันดีที่จะมีการกำหนดเป้าหมาย แต่มันไม่สำคัญมากขนาดนั้น  คุณจะรู้ว่าเป้าหมายที่คุณเลือกนั่นสำคัญหรือไม่โดยการตอบคำถาม 4 ข้อเหล่านี้

1.นั่นเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของคุณหรือไม่
2.นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมหรือไม่
3.คุณสามารถควบคุมอารมณ์ของคุณให้ทำงานนี้ได้สำเร็จหรือไม่
4.คุณสามารถมองภาพที่จะไปถึงเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่

ถ้าคำตอบของคุณเป็น "ไม่ใช่" เลยแม้แต่เพียงข้อเดียวจากคำถามเหล่านี้ คุณอาจะต้องพิจารณาเป้าหมายนี้ใหม่อีกครั้งแล้วละ  ในระยะเวลาสั้น ๆ มันจะปรากฏว่าดีสำหรับคุณ แต่ในระยะยาวคุณจะระเบิดตัวเองด้วยความขัดแย้ง และความผิดหวังมากมายที่ทำให้คุณประสาทเสียได้  ขอให้มั่นใจในการกำหนดเป้าหมายหลักให้มากเท่า ๆ กับเป้าหมายอื่น ๆ เป้าหมายหลักจะบังคับให้คุณต้องไปถึงมันและใช้ความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณเพื่อที่จะไปถึงมันให้ได้ เป้าหมายระยะยาวจะช่วยให้คุณสามารถเอาชนะควมล้มเหลวในช่วงสั้น ๆ ไปได้   มันสามารถจะช่วยให้คุณเปลี่ยนทิศทางของคุณได้โดยไม่ต้องถอยหลังกลับมาติดสินใจใหม่อีกครั้ง คุณเคยไปถึงเป้าหมายที่คุณกำหนดไว้หรือไม่ คนที่กำหนดเป้าหมายหลัก เป้าหมายระยะยาวมักจะถูกพบว่าเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง มีความนับถือตัวเองสูง  และมีแรงจูงใจส่วนตัวที่สูงมาก  มากกว่าครึ่งหนึ่งของรางวัลทั้งหมด  และประโยชน์ที่ได้รับจากการกำหนดเป้าหมาย   แท้จริงแล้วมาจากการเริ่มต้นในทิศทางที่ถูกต้อง และเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง
เหล่านี้เป็นขั้นตอนง่าย ๆ  6   ขั้นตอน  ที่คุณสามารถใช้ในการกำหนดเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายส่วนตัว หรือการกำหนดเป้าหมายแบบมืออาชีพ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด   เป้าหมายที่คุณได้เลือกแล้วควรจะต้องรวมถึง 6 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ด้วย

1.กำหนดเป้าหมายของคุณด้วยการเขียนลงบนกระดาษ
2.กำหนดวันสุดท้ายที่คุณจะต้องได้รับความสำเร็จ โดยการระบุวันที่ลงไปด้วย
3.ลิสต์รายการอุปสรรคที่คุณจะต้องเอาชนะมันเพื่อให้ประสบความสำเร็จให้ได้
4.ลิสต์ทักษะ และความรู้ที่ต้องการใช้เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย อะไรที่คุณจะต้องรู้บ้าง
5.พัฒนาแผนงานของสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายมากที่สุด
6.เขียนผลประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการที่คุณไปถึงเป้าหมายได้ในที่สุด

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการพยากรณ์ สิ่งที่สำคัญคุณจะต้องประเมินเป้าหมายของคุณอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ามันอยู่บนเส้นทางที่คุณต้องการจะให้มันเดินไป จำไว้ว่าการกำหนดเป้าหมายเป็นขั้นตอนที่ต้องต่อเนืองไปตลอดชีวิต ครั้งแรกที่คุณประสบความสำเร็จกับเป้าหมายแรกของคุณ  จงแน่ใจว่าคุณได้แทนที่มันด้วยเป้าหมายอื่นต่อไปแล้ว  วิธีการนี้คุณจะทำให้คุณได้รับผลที่น่าพอใจซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ได้จากการกำหนดเป้าหมาย...!!!

4. ปัจจัยในการเริ่มทำธุรกิจ
ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่านได้ศึกษามาแล้วว่าการที่ธุรกิจขนาดเล็กจะเริ่มต้นได้นั้น จะต้องมีปัจจัยที่สำคัญเหล่านี้ จึงจะมองเห็นความสำเร็จได้ นั่นคือ
ความรู้ในเรื่องที่จะทำทั้งในด้านของความรู้ที่เป็นวิชาการ และความรู้ที่ได้จากประสบการณ์การทำงาน
ทัศนคติ หรือความเต็มใจในการทำงานหลาย ๆ ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลาย ๆ เดือน และบางทีอาจเป็นปีโดยคาดหวังไม่ได้ว่าจะได้รับรายได้เท่าไร

แผนทางธุรกิจ  ถ้าธุรกิจไม่มีแผนธุรกิจที่ดีแล้วก็เปรียบเหมือนกับเรือที่ไม่มีหางเสือ
เงินลงทุน ทั้งที่เป็นเงินสด และทรัพย์สมบัติอื่น ๆ  เช่น สถานที่, อุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน
การลงมือทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ถ้าคุณต้องการไปให้ถึงจุดที่รู้สึกว่าคุณสบายมากสำหรับปัจจัย 5 ประการนี้แล้ว นั่นแสดงถึงความน่าจะเป็นที่คุณจะไปได้ดีกับมันหากคุณตัดสินใจที่จะเริ่มต้นธุรกิจของคุณเอง     อย่างไรก็ตาม  ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณยังขาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรืออาจมากกว่านั้น คุณอาจจะต้องถามตัวเองอีกครั้งว่า "ตอนนี้" เป็นเวลาที่ถูกต้องแล้วเหรอ

การเป็นเจ้าของธุรกิจปกติแล้วจะต้องการความรู้, เวลา, การวางแผน, ทรัพย์สมบัติ และพลังใจที่เข้มแข็งมากกว่าการทำงานให้คนอื่น   ขอให้แน่ใจว่าคุณเต็มใจ   และสามารถที่จะทำหน้าที่ได้ตั้งใจไว้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามได้สำเร็จ ที่มันอาจจะเป็นสิ่งที่คุณเสี่ยงที่จะได้รับความสำเร็จมา แต่นั่นอาจหมายรวมถึง่าคุณจะต้องพิจารณาไปถึงเป้าหมายหลักอื่นที่คุณอาจจะมีอยู่ด้วย   รวมทั้งรู้จักความรับผิดชอบในปัจจุบัน และอนาคตด้วย   กฏทั่ว ๆ ไปให้คุณลองกะประมาณเวลาที่คุณจะสามารถให้กับธุรกิจของคุณได้แล้วเพิ่มมันเข้าไปอีก 1 เท่า   เชื่อหรือไม่ว่า  นี่เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการกำหนดเวลาในการรับผิดชอบของคุณว่าคุณจะต้องใช้มันในการดำเนินธุรกิจของคุณให้คงอยู่ได้ เห็นได้ชัดว่า   ธุรกิจบางประเภทมีความยืดหยุ่นมากกว่าธุรกิจประเภทอื่น ๆ  ในเรื่องของเวลาที่จะต้องใช้ในการทำธุรกิจ  คุณอาจต้องการปรับเปลี่ยนเป้าหมายของธุรกิจของคุณให้ตรงกับเป้าหมายของชีวิตของคุณ  คุณต้องการทำงานหนักแค่ไหน      คุณต้องการที่จะเร่งรีบทำการขายทุก  ๆ  วันหรือไม่      ถ้าคุณกำหนดไว้ว่าคุณจะต้องมีวันหยุดทุกสุดสัปดาห์    คุณควรจะกำจัดหัวข้อของการขายปลีก,  ที่ดิน  และอีกหลาย ๆ  หัวข้อออกไปจากลิสต์ที่ของธุรกิจที่จะเป็นไปได้ของคุณ   แต่คุณไม่ควรจะท้อใจ ยังมีธุรกิจอื่น ๆ อีกที่อาจจะต้องกับรูปแบบการดำเนินชีวิตที่คุณต้องการ  และคุณคิดว่ามันใช่สำหรับคุณ ขอให้แน่ใจว่าได้ให้ครอบครัวของคุณเข้ามาร่วมในกระบวนการตัดสินใจครั้งนี้ด้วย  การสนับสนุนการพวกเขาถือเป็นสิ่งสำคัญมาก  พวกเขาอาจจะช่วยให้คุณสามารถค้นหาประเภทธุรกิจที่คุณต้องการได้แคบลงและเจาะจงมากขึ้น และพวกเขายังสามารถคอยเป็นกองหลังเพื่อส่งเสิรมให้คุณในขณะที่คุณกำลังปีนเขาอยู่ก็ได้...!!!

5. ค้นหาไอเดียจากตัวเอง
มีธุรกิจมากมายหลายประเภทที่แตกต่างกันในตลาดการค้า  แต่ละธุรกิจมีความต้องการที่แท้จริงแตกต่างกันซึ่งตลาดการค้าก็คือสิ่งที่บ่งบองถึงความต้องการ ในหลาย ๆ ทาง นี่เป็นสิ่งที่ดีเพราะว่ามันสามารถมอบทางเลือกที่ไม่มีข้อจำกัดให้คุณสำหรับประเภทธุรกิจที่คุณต้องการเริ่มต้นทำ อีกทางหนึ่งมันอาจจะคุณมีชัยไปกว่าครึ่งในความพยายามที่จะเลือกเฟ้นจากทางเลือกทั้งหมดที่อาจจะเป็นไปได้ต่าง ๆ กัน และเลือกธุรกิจที่ถูกต้องได้สักธุรกิจสำหรับคุณ
เพื่อให้กระบวนการนี้ง่ายยิ่งขึ้น เรามีขั้นตอนเป็น  step by step  ให้คุณให้สามารถเจาะจงทางเลือกของธุรกิจของคุณได้แคบมากขึ้น  ขั้นแรก เริ่มต้นที่ตัวคุณก่อน   การค้นหาแนวความคิดของธุรกิจของคุณจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากการเรียนรู้ขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อคุณจะสามารถค้นหาเข้าไปถึงจุดที่คุณสนใจ,  ทักษะ,  ความสามารถ  และไหวพริบได้มากที่สุด    ครั้งแรกที่คุณกำหนดไว้ว่าคุณสนใจในเรื่องใด  และมีทักษะ ความสามารถในเรื่องใดมากที่สุด เรามามองไปที่ตลาดการค้าดูว่าอะไรที่ยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอยู่บ้าง
แนวความคิดเบื้องต้นสำหรับธุรกิจของคุณส่วนมากแล้วมาจากสิ่งเหล่านี้ คือ

ความต้องการที่สังเกตได้
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม หรือประเพณีนิยม
เพื่อช่วยให้การค้นหาของคุณไปในทิศทางที่ถูกต้อง   ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้ดู  และมองเข้าไปถึงความสนใจ, ทักษะ, ความสามารถ, ความรู้ และไหวพริบที่คุณมีมันจะช่วยให้คุณกำหนดได้ว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

1. มองเข้าไปถึงสิ่งที่คุณสนใจ   สิ่งที่คุณสนใจเป็นสิ่งที่คุณชอบ  และไม่ชอบ   ความที่คุณชอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และคุณไม่ชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เริ่มเขียนมันลงบนกระดาษว่าอะไรที่คุณสนใจ โดยดูจากคำถามเหล่านี้
อะไรที่เป็นงานอดิเรกของคุณในปัจจุบัน  อะไรที่เป็นงานอดิเรกของคุณเมื่อตอนที่คุณยังเป็นเด็ก ?
หลักสูตรการเรียนอะไรที่คุณชอบมากที่สุดเมื่อคุณยังเป็นนักเรียนอยู่ ?
มีงานอะไรบ้างไหมที่คุณชอบมาก ๆ หรือมีความพอใจมากที่ได้ทำ
กีฬา และกิจกรรมสร้างสรรค์อะไรที่คุณสนใจโดยเฉพาะ และสนุกที่ได้ทำ ?
อะไรที่คุณมักจะทำในเวลาว่าง และอะไรที่คุณชอบทำถ้าคุณสามารถทำได้ ?
อะไรที่คุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สนุกที่สุด ?
ครั้งแรกที่คุณคิดออกมากว่าอะไรเป็นสิ่งที่คุณสนใจไปแล้ว ลองเจาะจงลงไปว่าอะไรบ้างที่คุณไม่ชอบทำเลยเขียนกิจกรรมเหล่านั้นไว้ข้างใต้สิ่งที่คุณสนใจ และบอกเหตุผลด้วยว่าทำไมจึงไม่ชอบ   บัญชีรายชื่อสิ่งที่คุณสนใจไม่ใช่สิ่งบ่งบอกที่แน่นอนว่าอะไรที่คุณควรจะทำ    มันเป็นเพียงจุดของการเริ่มต้นที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้ขอบเขตความสนใจของคุณ  มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณไม่สับสนถึงสิ่งที่คุณสนใจกับความสามารถ และทักษะของคุณ  ถ้าคุณเขียนมันออกมาทั้งหมดแล้ว ลองทบทวนถึงกิจกรรมที่คุณสนใจ ว่ามีอะไรที่เกี่ยวโยงกันได้ไหม ถ้ามีให้วงกลมที่เกี่ยวข้องกันไว้

2.  สร้างบัญชีรายการทักษะที่คุณมี   กุญแจสำคัญที่จะทำให้เกิดแนวความคิดของธุรกิจของคุณ  คือการรู้จัก และสามารถทำให้ทักษะที่แตกต่างของคุณออกมาอย่างชัดเจน   คำว่า "ทักษะ" ถูกใช้ในเรื่องของความรู้สึกทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นได้  คุณไม่ต้องมองไปทักษะที่คุณมีเพียงคนเดียวในโลกนี้ มันเพียงพอสำหรับทักษะคุณมีในทุก ๆ ระดับ คุณมองไปที่ทักษะอะไรก็ได้ที่อาจจะเห็นได้ชัดเจนในชณะที่คุณกำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ คุณจะต้องเปิดใจของคุณในขณะที่คุณกำลังทำบัญชีรายการทักษะนี้
หลังจากที่คุณได้สร้างบัญชีรายการทักษะนี้ขึ้นมาแล้ว ให้วงกลมทักษะเหล่านี้ที่แสดงถึงความสามารถของคุณได้มากที่สุด และทักษะที่คุณมีความพอใจมากที่สุดที่ไดทำมัน  ตอนนี้จะเห็นแล้วว่าข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้สามารถชี้นำคุณในการค้นหาได้ว่าธุรกิจของคุณควรจะเป็นอะไร

3.  นึกถึงเรื่องที่เป็นกำลังใจ    ทุก  ๆ  คนมีความทรงจำในแต่ละช่วงของชีวิตว่าช่วงไหนที่แข็งแกร่งมากที่สุดมันอาจเป็นช่วงเวลาที่คุณได้กล่าวคำปราศรัยเป็นครั้งแรก หรือเป็นวันที่ลูกของคุณเกิด หรือมันอาจเป็นเวลาที่คุณเดินไปถึงเป้าหมายที่คุณคิดว่าไม่มีวันจะไปถึงได้  อะไรก็ตามที่ เมื่อคุณนึกถึงเวลาเหล่านั้นแล้วทำให้คุณรู้สึกภูมิใจในตัวเอง เราเรียกมันเวลาความทรงจำที่เป็น  "power stories"   ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรับรู้ได้ถึงช่วงเวลาเหล่านี้ในชีวิต  หรือคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญ  ลองนึกถึงความทรงจำเหล่านี้แล้วเลิสต์รายการออกมา แบ่งกระดาษออกเป็น 2 ส่วน ด้านซ้ายให้เขียนแต่ละเรื่องออกมาก ส่วนด้านขวาให้ลิสต์ทักษะ และความสามารถพิเศษที่คุณใช้ในแต่ละเรื่อง ทักษะอะไรและความสามารถอะไรที่ปรากฎขึ้นในแต่ละเรื่อง

4.  สร้างบัญชีรายการความรู้พิเศษ  ให้คุณลองลิสต์รายการความรู้พิเศษจากแหล่งเหล่านี้ดู เช่น
การเรียนรู้จากโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย
การเรียนรู้จากงาน หรือการกระทำอื่น ๆ ที่บ้าน หรือที่ทำงาน
การเรียนรู้จากงานสัมมนา และการปฏิบัติงานจริง (workshop)
การเรียนรู้จากการพูดคุยกับคนอื่น ๆ
คุณควรจะลิสต์รายการความรู้พิเศษหลาย ๆ ประเภทให้มากที่สุดเท่าที่จะคิดได้ แล้ววงกลม 5 ประเภทที่คุณคิดว่าจะใช้เป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจของคุณได้  หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดแล้วลองดูว่าข้อมูลที่ได้บ่งบอกว่าธุรกิจของคุณควรที่จะเป็นไปในทิศทางใด อะไรจึงจะเหมาะกับคุณมากที่สุด...!!!

5. ค้นหากลุ่มตลาดเป้าหมาย
การรวิจัยที่ผ่านมาบ่งบอกมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าคุณจะต้องรู้สึกเต็มใจและมีความสุขมาก ๆ กับสิ่งที่คุณจะทำ ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว   ถ้าคุณเริ่มต้นธุรกิจบนพื้นฐานของหลักการช้า ๆ แต่รวยเร็วแล้วละก็คุณจะพบว่าคุณรู้สึกเหนื่อยอย่างรวดเร็ว  อีกทางหนึ่ง   ถ้าคุณเพ่งเล็งไปแต่เฉพาะสิ่งที่คุณชอบ  และคุณไม่เอาใจใส่ความต้องการของตลาด  ไม่ช้าคุณจะพบว่ามีบิลเก็บเงินมากมายเหลือเกินที่คุณจะต้องจ่ายทุก ๆ สิ้นเดือน อะไรคือคำตอบล่ะ ?
ก็เหมือนกับสิ่งอื่น ๆ ในชีวิต  คำตอบคือ การค้นหาความสมดุล  มันเหมือนกับว่าทุก ๆ สิ่งคุณต้องการจะให้คนอื่นในโลกนี้ก็ต้องอยากจะรับไว้ด้วย   กลยุทธ์นี้ก็เพื่อค้นหาบุคคลคนนั้น แล้วนำเสนอสินค้า หรือบริการของคุณในรูปแบบที่พวกเขาจะไม่สามารถปฏิเสธได้  อะไรที่คุณควรจะให้ ? นี่เป็นการจับคู่ความสนใจส่วนตัวของคุณให้เข้ากับความต้องการของตลาด
ลองดูตัวอย่างนี้   ซินดี้สนใจในเรื่องของการเดินทางที่ท้าทายมาก  เธอเคยทำงานในบริษัททัวร์เป็นเวลาหลายปี  และเธอกำลังคิดที่จะเริ่มธุริจท่องเที่ยวสำหรับผู้หญิง  เธอตัดสินใจที่จะทดสอบโดยการลงโฆษณา และลงนิตยสารของผู้หญิง   เมื่อมีคนน้อยมากที่ตอบรับการโฆษณาของเธอ   เธอหลงเข้าใจผิดและตัดสินใจว่าความคิดของเธอไม่มีวันประสบความสำเร็จได้
แต่เมื่อเพื่อนหญิงของเธอบอกเธอเกี่ยวกับนิตยสารเกี่ยวกับผู้หญิงที่เพิ่งออกใหม่ที่เพื่อนของเธอเพิ่งเห็นมา เธอเห็นว่ามันน่าสนใจ จึงได้ซื้อนิตยสารเล่มนั้นมาอ่าน หลังจากได้พูดคุยกับผู้จัดทำนิตยสาร  เธอก็ได้รู้ว่ามีผู้หญิงจำนวนมากที่อ่านนิตยสารประเภทนี้สนใจเรื่องการท่องเที่ยวเพื่อเป็นการเปิดโลกให้กับพวกเธอ ซินดี้ยังได้เรียนรู้อีกว่าพวกผู้หญิงพวกนี้ส่วนมากจะมีอายุที่ 30 และ 40 ปีขึ้นไป ไม่ใช่ 20 อย่างที่เธอคิดไว้ในตอนแรก
จากความรู้เหล่านี้   เธอจึงได้จัดแพ็กเก็ตทัวร์ที่มีคุณมุ่งหมายเพื่อผู้หญิงที่ต้องการประสบการณ์ใหม่  ๆ  จากการท่องเที่ยวที่ท้าทาย  และเธอก็ได้ลงโฆษณาบนนิตยสารที่เพื่อนเธอแนะนำไว้  ผลตอบรับที่มากมายหลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ทำให้เธอสามารถสร้างกรุ๊ปทัวร์กลุ่มแรกได้ และเป็นการเริ่มต้นธุรกิจของเธอด้วย
เรื่องของซินดี้เป็นตัวอย่างของความสำเร็จตัวอย่างหนึ่ง   ถ้าไม่ได้มีโชคเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เข้ามาช่วย เรื่องของเธอก็น่าจะเป็นเรื่องที่ล้มเหลว    การวิจัยตลาดบ่อยครั้งที่เป็นสิ่งแสดงให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลว ซินดี้ไม่เคยได้ทิ้งความฝันของเธอในการทำสิ่งที่เธอรัก แต่จนกระทั่งเธอได้รู้ถึงตลาดกลุ่มเป้าหมายของเธอ
คติที่ได้จากข้อนี้คืออะไร ? ก็คือ การมองเข้าไปข้างในตัวคุณเองเพื่อเรียนรู้ว่าคุณชอบอะไร และอะไรที่เป็นสิ่งที่คุณฝันไว้  เมื่อคุณเปิดตาและใช้เวลาในการค้นหาใครสักคนที่สามารถเข้ามาร่วมแชร์ความฝันนั้นกับคุณได้ ทั้งหมดนี้มันอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย แต่ผลที่ได้รับนั้นคุ้มค่ามาก...!!!

6. วาดภาพตัวเองกับธุรกิจ
เมื่อคุณพยายามที่จะเลือกธุรกิจที่เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด มันง่ายที่จะในการที่จะคิดจากสิ่งที่คุณมีนั่นคือสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั่นเอง   คุณจะต้องทำมันต่อเนื่องต่อไป  โดยไม่ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ  คุณอาจจะต้องจบลงด้วยการเช่าสำนักงานเล็ก ๆ หรือย้ายสำนักงานมาเป็นห้องเล็ก ๆ ที่บ้านของคุณเองเพื่อที่จะผูกตัวคุณเองไว้กับงานเก่า ๆ ของคุณ หรือไม่คุณอาจจะจบลงที่การจ่ายเงินเกือบทั้งหมดที่คุณได้รับไปกับการทุบฟุตบาทใหม่เพื่อการขายที่อาจจะเกิดขึ้น   เมื่อสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ แล้วมันมีอยู่แล้วที่บ้านของคุณเอง
เพื่อช่วยให้คุณเข้าถึงความรู้สึกกับธุรกิจของคุณเอง   ก่อนที่คุณจะเริ่มธุรกิจจริง ๆ  คุณต้องพยายามใช้มโนภาพของการสร้างภาพในจิตใจถึงสิ่งที่คุณจะต้องทำในแต่ละวันว่าเป็นอย่างไร   โดยการทำสิ่งนี้ คุณจะค้นพบว่าอะไรที่คุณรู้สึกว่าคุณจะต้องได้พบเจอกันทุกๆ วันในการทำงาน  คุณสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อช่วยให้คุณกำหนดได้ว่าคุณอยู่บนทางของอาชีพที่ถูกต้องแล้วหรือยัง
มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการประเมินค่ารูปแบบทิศทางของธุรกิจของคุณก่อนที่จะนำเงิน,  เวลา  และพลังงานของคุณไปลงทุนกับมันจริง ๆ การเดินเข้าไปสู่ธุรกิจแบบผิดวิธี  ( เช่น  ตัดสินใจลาออกจากงานที่ไม่ต้องการแบบกระทันหัน เพียงเพราะมีความรู้สึกว่าต้องการสร้างธุรกิจของตัวเองมากระตุ้น หรือเพื่อต้องการที่จะมีเวลามากขึ้น ) โดยไม่มีการวิจัยที่ดีพอสามารถนำไปสู่ความล้มเหลวได้ ไม่ในอาชีพการงาน ก็ชีวิตส่วนตัว หรืออาจจะทั้งสองอย่าง
คำถามเหล่านี้เป็นวิธีง่าย ๆ ในการช่วยให้คุณคิดว่าแต่ละวันของคุณจะเป็นอย่างไรสำหรับครั้งแรกของการเป็นเจ้าของธุรกิจของคุณเอง  ในขณะที่พิจารณาแต่ละคำถาม  สังเกตความรู้สึกของคุณว่าเป็นอย่างไร  คุณรู้สึกเครียด และปั่นป่วนในขณะที่อ่านคำถามแต่ละข้อหรือไม่ หรือคุณรู้สึกตื่นเต้นและมีแรงจูงใจ แต่คุณกลับไม่รู้เหตุผลว่าทำไม ลองฟังความรู้สึกของคุณเองและจงเชื่อในตัวคุณเอง

เวลาไหนที่เหมาะสำหรับเริ่มต้นวันธุรกิจของคุณ ?
คุณจะใส่ชุดอะไรไปทำงาน ?
คุณจะเปิดประตูเข้าไปสู่ธุรกิจของคุณ  มันอยู่ที่ไหน  ลักษณะเป็นอย่างไร ?
เมื่อคุณมองไปรอบ ๆ ใครบ้างที่คุณเห็นที่นั่น ?
คุณผลิตสินค้าของธุรกิจคุณ สินค้านั่นคืออะไร ?
ลูกค้าที่ซื้อสินค้าคุณ เขาหรือเธอมีลักษณะเป็นอย่างไร ผู้ชายหรือผู้หญิง อายุเท่าไร มีอาชีพอะไร ?
ถ้าคุณจะสร้างกลุ่มลูกค้า   ทำไมลูกค้าเหล่านี้ถึงจะต้องเลือกสินค้า  หรือบริการของคุณ    แล้วพวกเขารู้จักสินค้าของคุณได้อย่างไร ?
คุณคิดอย่างไรกับสินค้าหรือบริการของคุณ มันควรจะมีราคาเท่าไรดี ลูกค้าจะจ่ายเงินได้โดยวิธีใด เงินสด หรือเครดิตการ์ด หรือซื้อเงินเชื่อ ?
คุณลองมองไปที่รายชื่อลูกค้าของคุณ   แล้วคิดว่าเมื่อไร และที่ไหนที่เขา หรือเธอจะมาซื้อสินค้าจากคุณในครั้งต่อ ๆ ไป ?
ในเวลาอาหารกลางวัน และอาหารเย็น คุณกำลังทานอะไร ?
คุณทานอาหารกับใคร ที่ไหน และเมื่อไร ?
เมื่อเช้านี้ผ่านไปแล้ว  คุณได้ทำอะไรไปบ้างครึ่งวันนี้  ผลิตอะไรบางอย่าง  ขายอะไรบางอย่าง หรือไปไหนมาบ้าง ?
เวลาใดที่คุณจะปิดร้าน  ?
คุณจัดเก็บบิล หรือนับเงินของคุณ   คุณได้เงินมาเท่าไรสำหรับวันนี้ และเป็นเงินสดเท่าไร  แล้วยังมีส่วนที่ลูกค้าไม่ด้จ่ายอีกเท่าไร ?
เวลาที่คุณจะกลับบ้าน คุณตรงกลับบ้านเลย หรือคุณจะต้องแวะที่ไหนก่อน ?
เมื่อคุณกลับถึงบ้าน คุณยังต้องมีงานบ้านที่ต้องรับผิดชอบอีกหรือไม่ ?
คุณจำเป็นต้องวางแผนงานสำหรับธุรกิจของคุณ เมื่อไรที่คุณทำสิ่งนี้ ?
คุณต้องการคุยเกี่ยกับสิ่งที่คุณได้พบมาในแต่ละวันกับใครบางคนหรือไม่  แล้วใครที่คุณคุยด้วย ?
คุณจะต้องเตรียมงานในวันพรุ่งนี้  คุณทำอย่างไร ?
เวลาเท่าไรที่คุณเข้านอนจริง ๆ  ?

7. ทำให้ธุรกิจเติบโต
การสร้างธุรกิจของตัวเองไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำคนเดียวเสมอไป  กว่า 10 ปีที่ผ่านมาธุรกิจแบบหุ้นส่วนมีมากขึ้นเป็น 2 เท่าของธุรกิจเจ้าของคนเดียว  การจากประเมินผลจากภาษีที่ได้รับ   อะไรที่เป็นสิ่งจูงใจให้ 7  ใน 10 ของธุรกิจขนาดเล็กมีการดำเนินงานร่วมกับคนอื่น ?  เหตุผลที่มักจะได้รับเสมอ คือ มันทำให้สามารถสร้างงานโปรเจ็กต์ใหญ่ ๆสร้างกลุ่มลูกค้า หรือกำไรได้มากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลว เพื่อพัฒนาสายผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพื่อขยายสาขาเพิ่มเติมรวมไปถึงการเรียนรู้ และสิ่งที่จะได้รับจากเพื่อร่วมงาน การสนับสนุน และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และความสนุกสนานที่สามารถได้มาจากการทำงานร่วมกับผู้อื่น
อะไรอาจเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจของการมีหุ้นส่วน  ในขณะที่รูปแบบส่วนมากที่เราเห็นกันไม่ใช่ประเภททั่วไป  หรือเป็นการรวมธุรกิจประเภทที่นิยม  ดังนั้นก่อนที่จะกระโดดเข้าไปสู่การมีหุ้นส่วน พิจารณาวิธีการอื่นของการร่วมธุรกิจที่สามารถมีสิทธิได้ดีกว่าในธุรกิจของตนเอง เรากำหนด 10 รูปแบบของการร่วมธรุกิจ โดยมีระดับของการเสี่ยงน้อยมาก และมีความสัมพันธ์ร่วมกันกันในระยะสั้น ๆ ไปจนถึงการทำสัญญาระยะยาวที่ขยายเวลาไปมากกว่าปี
Networking  เป็นวิธีการมีความเสี่ยงน้อยมากที่สุดในการร่วมธุรกิจ โดยการสร้างเครือข่าย 1 ใน 4 ของเครือข่ายขององค์กรทั้งหมด  เช่น องค์การโทรศัพท์ร่วมกับ Telecom Asia เป็นต้น
Mutual Referral Arrangements   อะไรที่มีความเกี่ยวข้องกันในการทำสัญญาร่วมกัน เช่น การร่วมกลุ่มลูกค้าของธุรกิจของแต่ละองค์กร อาจจะมากกว่า 2 องค์กรก็ได้ หรืออาจเป็นธุรกิจที่แตกต่างกัน หรือเกี่ยวข้องกันก็ได้
Cross Promotions   ตัวอย่างของวิธีการ เช่น  การลงโฆษณาร่วมกัน   การแชร์บูตแสดงสินค้าร่วมกัน หรือการจัดลดราคาสินค้าร่วมกันของธุรกิจ Supplier และ Supermarket
Interdependent Alliances  ธุรกิจ 2 แห่งหรือมากกว่าตกลงทำงานร่วมกับในโครงการหนึ่ง ๆ หรือที่เรียกว่า "Freelance" นั่นเอง
Joint Ventures  ถ้าจำเป็นที่จะต้องมีหุ้นส่วนระยะสั้น สำหรับงานโครงการ  หรืองานที่ต้องอาศัยการร่วมธุรกิจ แต่จะต้องจำไว้ว่าวิธีนี้จะต้องมีทรัพย์สินทางกฏหมายของหุ้นส่วนร่วมกัน และควรจะเขียนไว้เป็นหลักฐานด้วย
Satellite Subcontracting   เมื่อธุรกิจต้องการมีที่ปรึกษา  หรือต้องการใช้ทรัพยากรนอกบริษัทมากกว่าการจ้างลูกจ้าง วิธีการนี้เป็นรูปแบบของการร่วมธุรกิจที่มีระยะเวลาหลายปี ซึ่งคนที่มาทำงานเหล่านี้จะขึ้นกับคนของเขาเอง  ส่วนมากมักจะเห็นจากธุรกิจการแพทย์ หรือธุรกิจกฏหมาย
Consortiums  สำหรับประเภทนี้  แต่ละคนจะมีทักษะที่แตกต่างกันแต่เกี่ยวข้องกันเป็นกลุ่มเพื่อดึงให้ธุรกิจไปพร้อม ๆ กันทั้งกลุ่ม เช่น กลุ่ม ISP อินเตอร์เน็ต, Web Designer, Web master, นักเขียนที่อาจรวมมตัวกันเองแล้วหางานมาเข้ากลุ่ม
Family/Spouse Collaboration   เป็นการทำงานร่วมกันสามี /ภรรยาของตัวเอง   อาจร่วมไปถึงญาติ และครอบครัว   ความสัมพันธ์ในลักษณะจะต้องมีการจัดการเป็นพิเศษ   และเป็นสิ่งสำคัญมากในการแบ่งแยกความความสัมพันธ์ระหว่างานกับเรื่องส่วนตัว
Partnerships  ในขณะที่ร่วมสัญญานั้นเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการร่วมธุรกิจทุกรูปแบบ มันเป็นสิ่งสำคัญในการเป็นหุ้นส่วน และควรจะให้รายละเอียดอย่างครบถ้วนในการซื้อหุ้น หรือการเลิกล้มความเป็นหุ้นส่วน สัญญาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อใช้การพิจารณาหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนขึ้น
Virtual Organizations  วิธีการนี้ป็นการตกลงที่ค่อนข้างยืดหยุ่นว่าจะร่วมกันหรือไม่ เป็นแบบโครงการต่อโครงการ  สมาชิกอาจจะมีจากหลาย ๆ ส่วนของประเภทศ และทีมงานมักจะไม่ใช่ทีมเดียวกันทุก ๆ โครงการ