ทำธุรกิจ

ทำธุรกิจ
ทำธุรกิจ
ทำธุรกิจ

การทำธุรกิจเครือข่าย ขายตรง mlm  ที่ประสบความสำเร็จในอดีตจนถึงปัจจุบัน และเป็นที่นิยมใช้กันทั่วโลกก็มีอยู่ 2 วิธี คือ
1. วิธีการทำธุรกิจเครือข่าย (แบบออฟไลน์) ประสพผลสำเร็จในอดีต และเป็นที่นิยมอย่างสูง
    แต่เกิดผลสำเร็จต่อคนกลุ่มหนึ่งๆเท่านั้น    
2. วิธีการทำธุรกิจเครือข่ายแบบ (ออนไลน์) ประสพผลสำเร็จในปัจจุบัน และเป็นที่นิยมอย่างสูงในขนะนี้

1). งานแบบออฟไลน์ 
         
    ก็คือเป็นการ ทำ ธุรกิจ ขาย ตรง/ธุรกิจ เครือ ข่าย MLM.ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้ ที่เราใช้ชีวิตประจำวันอยู่ขณะนี้ วิธีการทำงานแบบนี้ก็คือ ทำโดยการนำเสนอโอกาสทางธุรกิจของบริษัทที่เราทำอยู่ ว่ามีโอกาสที่จะร่ำรวยได้อย่างไรในเวลาอันรวดเร็ว หรือมีโอกาสที่จะมีอิสระภาพทางการเงิน โดยไม่ต้องทำงานประจำอีกต่อไป ให้กับบุคคล รอบข้างตัวเรา โดยไม่จำกัด เรื่องใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ ฯลฯ ทุกคนบนโลกนี้สามารถทำได้หมด

ก่อนที่จะเริ่มไปทำกันจริงๆ ทางบริษัทอาจจะมีการอบรมในเรื่องของ วิธีการทำธุรกิจ โดยจะอาศัยหลักการทำงานเป็นทีม การรวมกลุ่มทำกิจกรรม เพื่อสร้างแรงจูงใจ(Motives) ให้แก่นักธุรกิจเครือข่ายหน้าใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีประสพการณ์ในการทำธุรกิจเครือข่ายมาก่อน

วิธีการทำงาน จะเริ่มทำจากคนใกล้ๆตัวก่อน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติ จนกระทั่งเพื่อนสนิท มิตรสหาย สามารถชวนมาทำธุรกิจเครือข่ายได้หมดทุกคน(ถ้าคนเหล่านั้นเชื่อในสิ่งที่คุณพูดนะ) วิธีการนำเสนอก็คือ แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ด้วยความหัวงดี

โดยการ Show the plan Shear the product คือนำเสนอสินค้า/ผลิตภัฑณ์ของทางบริษัท ว่าดีอย่างไร โดยเล่าเรื่องราวประสบการณ์ ของคนที่เคยใช้ผลิตภัฑณ์ ว่าใช้แล้วมันช่วยทำให้เกิดผลลัพท์ในทางที่ดีอย่างไรบ้าง และก็นำเสนอแผนการรับรายได้ หรือค่าตอบแทน และผลประโยชน์ต่างๆ อีกมากมายที่จะได้รับตามมา หากคนเหล่านั้นร่วมทำธุรกิจเครือข่ายกับทางบริษัท ก็คือจะต้องสมัครเป็นสมาชิกของทางบริษัทนั่นเอง

ขั้นตอนต่อมาก็คือ(แชร์รายได้)ของคนที่ได้ผลตอบแทนจาก การทำธุรกิจเครือข่าย ในบริษัทนี้ ประกอบกับหลักฐานทางด้านการเงินต่างๆ เช่น สำเนาบัญชีธนาคาร BOOK BANK ในหน้าที่มียอดเงินในบัญชี รายการเงินฝาก เป็นตัวเลขมายืนยัน(ส่วนมากจะเป็นตัวเลข 6-7 หลักขึ้นไป) ให้คุณเห็น เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการนำเสนอมากยิ่งขึ้น และเหตุผลนี้เองที่เป็นเหตุผลสำคัญที่สุด ในการตัดสินใจ ของผู้มุ่งหวัง ที่จะเข้าร่วมทำธุรกิจเครือข่าย(ความโลภ) ด้วยการทำงานแบบนี้ เราเรียกกันว่า "งานแบบออฟไลน์"

2).งานแบบออนไลน์
                                                                                                           
        ก็คือเป็น การ ทำ ธุรกิจ ขาย ตรง/ธุรกิจ เครือ ข่าย MLM. Online ในโลกที่ไร้ซึ่งพรมแดน โดยการทำให้ทุกมุมโลกเข้าใกล้ และง่ายเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส หรือที่เราเรียกกันตามความเข้าใจกัน เอาเองว่าInternet (อินเตอเน็ต) คุณสามารถโฆษณาชวนคน ที่สนใจให้มาร่วมทำธุรกิจเครือข่ายกับคุณได้ผ่านทางเว็บไซต์ของคุณเอง ตลอด 24 ชม./365 วัน

แม้ว่าคุณจะตื่น จะกิน จะนอน หรือกำลังทำอะไรอยู่ก็แล้วแต่ ถ้าเว็บไซต์คุณได้ออกสู่สายตาชาวโลกแล้วล่ะก็ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโลกออนไลน์ เพราะโลกออนไลน์ไม่เคยมีวันหยุด เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอำนาจอย่างยั่งยืนแท้จริง

และการทำงานออนไลน์ในแบบฉบับของผมเองที่จะ เปิดเผยในบทความถัดไปนั้น ไม่มีค่าใช้จ่ายในการทำงานแม้แต่บาทเดียว ทุกอย่าง ฟรีหมด เพียงแค่นั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านคุณ แต่คุณสามารถชวนคนทั่วทุกมุมโลก ให้มาเห็นสิ่งดีๆ ที่คุณแบ่งปันเรื่องราวผ่านเว็บไซต์ของคุณเอง ได้โดยไม่ต้องไปเหนื่อยยาก กับการทำงานแบบออฟไลน์อีกต่อไป

ส่วนวิธีการทำธุรกิจเครือข่าย ด้วยงานแบบออนไลน์ ในเรื่องของรายละเอียดในการนำเสนอแล้วนั้นจะไม่ต่างอะัไรกับการนำเสนอโอกาสทางธุรกิจ ในงานแบบออฟไลน์เลยแต่อย่างใด เพียงแต่เปลี่ยนการปฏิบัติ ในการนำเสนอ จากโลกแห่งความจริง มานำเสนอในโลกออนไลน์ ผ่านทางอินเตอเน็ตเท่านั้นเอง ขั้นตอนหรือวิธีการนำเสนอนั้น ผู้ที่จะทำงานแบบออนไลน์ได้ จะต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เพื่อที่จะทำการโปรโมท โฆษณา เว็บไซต์ ผ่านทางผู้ให้บริการ การค้นหาเว็บไซต์ ที่มีอยู่บนโลกออน์ไลน์ หรือที่เราเรียกกันว่า search engine (เสิร์ชเอนจิน) ตัวอย่างเช่นยักย์ใหญ่ในตอนี้ Google ,Yahoo และ Bing เป็นต้น
                   
หรืออาจจะทำโดยการโปรโมทผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ที่สามารถให้โปรโมทเว็บไซต์ได้ คือการเข้าไปโพสข้อความตามเว็บบอร์ดต่างๆ, การทำอีเมล์มาเก็ตติ้ง, โปรโมทผ่านทาง social network เช่น facebook , Hi5 , Google+ หรือ ฯลฯ อีกมากมาย


5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว

สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่นักธุรกิจ หรือผู้ประกอบการ มักจะละเลยไป เมื่อเริ่มต้นธุรกิจ สร้างความสำเร็จในธุรกิจได้บ้าง หรือแม้แต่เป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่แล้วก็เถอะ บางคนยังหลงลืมสิ่งที่ควรจะต้องหลีกเลี่ยงในการทำธุรกิจไป

ทั้ง 5 ข้อที่ต้องหลีกเลี่ยงนี้ เหมาะสำหรับ คนที่เป็นนักธุรกิจทั่วๆ ไป แต่บางข้ออาจจะไม่เหมาะกับ คนที่เป็นนักธุรกิจที่เก่งฉกาจ ระดับเทพจริงๆ สำหรับเทพยดาเหล่านี้ อาจจะละเลยบางข้อได้ แต่ก็ไม่ควรจะละเลยทั้งหมด โดย ทั้ง 5 ข้อนี้ เริ่มจาก

1. มั่นใจในตัวเองมากเกินไป

“Don’t be cocky. Don’t be flashy. There’s always someone better than you.”

Tony Hsieh

“อย่าทะนงตน อย่าคุยโตโอ้อวด จงจำไว้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า” เป็นคำพูดของ Tony Hsieh นักธุรกิจ ผู้เป็นหนึ่งใน Co-Founder และ CEO website www.Zappos.com
ความมั่นใจในการทำอะไรซักอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามั่นใจมากเกินไปอาจจะส่งผลเสียได้ เพราะคนๆ นั้น จะละเลยความเสี่ยงบางอย่างที่ต้องเผชิญ และกลายเป็นคนที่มองเหรียญเพียงด้านเดียว
นอกจากนี้ คนๆ นั้นจะฟังคนรอบตัวน้อยลง รับฟังความคิดเห็นของหุ้นส่วน หรือจากลูกน้องน้อยลง การตัดสินใจจะเต็มไปด้วย ความคิดที่ว่า “ข้าใหญ่ ข้าแน่ เอ็งจะไปรู้อะไร” อาจจะนำไปสู่ การลงทุนที่ไม่คุ้มค่า หรือการตัดสินใจทางธุรกิจที่นำไปสู่ความล่มจม

2. กำจัดทุกคนที่ขวางทาง

“Walking with a friend in the dark is better than walking alone in the light.”

Helen Keller

“ร่วมทางกับมิตรสหายในที่มืด ดีกว่าเดินทางอย่างเดียวดายในที่แจ้ง” เป็นคำพูดของ Helen Keller นักเขียน และนักเคลื่นไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ชาวอเมริกัน ผู้พิการทั้งตาบอด และหูหนวก ตั้งแต่อายุ 19 เดือน ซุนวู เคยกล่าวไว้ว่า วิธีชนะศึกที่ดีที่สุด คือ “การชนะโดยไม่ต้องรบ” อาจจะด้วยการฑูต หรือวิธีอื่นก็แล้วแต่ สิ่งที่พยายามจะสื่อในข้อนี้ คือ ขอให้คุณหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงานของคุณ หรือบริษัทคู่แข่งก็ตาม ในแง่ของความขัดแย้งกับผู้ร่วมงานของคุณ ขอให้คุณพูดคุยกันด้วยเหตุผล และให้เห็นประโยชน์ของธุรกิจเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่จ้องแต่จะพูดเพื่อเอาชนะผู้ร่วมงานของคุณอย่างเดียว มันจะกลายเป็น “ชนะศึก แต่ชนะสงคราม”

ส่วนการสู้กับคู่แข่ง มันคงจะสร้างสรรค์กว่า ถ้าแข่งกันด้วย จุดเด่น หรือคุณภาพของสินค้า ไม่ใช่จะทำให้คู่แข่งออกจากตลาดไป เพราะว่าคุณตัดราคาแล้วทำให้เค้าอยู่ไม่ได้ เพราะที่สุดแล้ว คุณจะโดนธุรกิจที่มีต้นทุนต่ำกว่า ตัดราคาและทำให้คุณเจ๊งเช่นกัน

3. อย่าทำให้ตัวคุณเป็นระบบเสียเอง

“It’s all about quality of life and finding a happy balance between work and friends and family.”

Philip Green

“คุณภาพชึวิตคือทุกสิ่งทุกอย่าง คุณจำเป็นผสมผสาน เพื่อหาความลงตัวระหว่าง หน้าที่การงาน เพื่อนฝูง และครอบครัวให้ได้” เป็นคำพูดของ Sir Philip Green นักธุรกิจ Founder และ CEO ของ Arcadia Group เจ้าของแบรนด์ Topshop ชาวอังกฤษ การสร้างธุรกิจ คือ การสร้างระบบขึ้นมา เพื่อให้กิจการมันเดินได้ด้วยตัวเอง ถ้าคุณกังวลไปเสียทุกอย่าง และไม่มอบหมายกระจายงาน และอำนาจในการตัดสินใจไปให้กับ ลูกน้องของคุณเลย นำเอาทุกสิ่งทุกอย่างมารวมศูนย์ไว้ที่ตัวคุณเอง มันก็ไม่ต่างอะไรกับ การที่คุณเป็นตัวระบบเสียเอง เหมือนกับ อาชีพอิสระ ที่คุณห้ามป่วย ห้ามพักผ่อน และห้ามตาย ไม่งั้นธุรกิจก็ไม่สามารถเดินได้ ซึ่งมันส่งผลเสียทั้งตัวธุรกิจ และชีวิตส่วนตัวของคุณ

4. ประมาท

“Only the paranoid survive”

Andy Grove

“ผู้ที่หวาดวิตกกับอุปสรรคเท่านั้นที่อยู่รอด” เป็นคำพูดของ Andy Grove นักธุรกิจ ผู้เป็นหนึ่งใน Co-Founder และ CEO ของบริษัท Intel ชาวอเมริกันนักธุรกิจหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นผู้นำตลาด มักจะประมาทคู่แข่งขัน และมองว่า สินค้าของคู่แข่งขัน ด้อยกว่า ตอบโจทย์ผู้บริโภคไม่ได้ และไม่ใช่คู่มือของธุรกิจตน แต่ประวัติศาสตร์การทำธุรกิจ ได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการดำเนินธุรกิจ เช่น เมื่อ Apple เข้ามาสู่ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ในปี 1976 บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ ต่างคิดว่าคงไม่มีใครอยากมีคอมพิวเตอร์ไว้ที่บ้าน แต่ Apple ก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าจริงๆ แล้ว คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล นั้นเป็นตลาดขนาดที่ใหญ่มาก และทุกคนก็อยากได้มาไว้ที่บ้าน ไม่ใช่แค่มีใช้ที่ทำงานเท่านั้น ทำให้ DEC ที่เคยเป็นบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกต้องเลิกกิจการไป

5. ยึดติดกับความสำเร็จเดิม และไม่เรียนรู้สิ่งใหม่

“Markets come and go. Good businesses don’t”

Fred Wilson

“เทคนิคทางการตลาด มาแล้วก็ไป มีเพียงธุรกิจที่ดีจริงๆ เท่านั้นที่คงอยู่” เป็นคำพูดของ นักธุรกิจ ผู้เป็นหนึ่งใน Co-Founder ของบริษัท Union Square Ventures ชาวอเมริกันทุกสิ่งทุกอย่างในเส้นทางธุรกิจของคุณ เริ่มต้นจากคุณ อยากทำธุรกิจส่วนตัว และสร้างธุรกิจมาได้จนสำเร็จ แต่ทุกสิ่งไม่ได้จบลงเพียงแค่ขั้นตอนการสร้างธุรกิจเท่านั้น เมื่อสร้างมาได้แล้ว ก็จำเป็นต้องรักษาให้มันอยู่รอดต่อไปได้ด้วย หลายต่อหลายครั้ง ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำให้นักธุรกิจบางคนเหลิง และคิดว่าแค่ใช้วิธีเดิมๆ ก็ดีพอแล้ว จึงไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก ซึ่งเมื่อคนเหล่านี้เลือกที่จะอยู่กับที่ ไม่พัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีกว่าเดิม มันก็เหมือนกับการถอยหลังเข้าคลอง เพราะขณะที่เค้าอยู่กับที่ คู่แข่งของเค้าทุกคนต่าง เดินไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจของเค้าจึงเสื่อมถอยลงในที่สุด